Sat. Oct 18th, 2025

นำร่องสู่อนาคตกับความท้าทายในอุตฯ การบินและนวัตกรรมเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน SAF

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและได้กลายเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนให้ความสนใจ อุตสาหกรรมการบินเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคธุรกิจการบินคิดเป็น 2% ของปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ถูกปล่อยเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก ต่างจึงริเริ่มนโยบายประหยัดพลังงานและหันมาใช้พลังงานทางเลือกอย่าง เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) เป็นพลังงานหมุนเวียนทางเลือกใหม่ที่ช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 80% เมื่อเทียบกับการใช้น้ำมันอากาศยานแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเมื่ออุตสาหกรรมการบินวางแผนก้าวเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065

บริษัท Chemical House & Lab Instrument ในฐานะบริษัทผู้จัดหาอุปกรณ์และโซลูชันการทดสอบในห้องปฏิบัติการคุณภาพสูงในภาคอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี SAF จึงจัดงานสัมมนาเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ที่มีประสบการณ์ในด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ทั้งในการผลิตและข้อกำหนดการรับรองต่าง ๆ รวมถึงเทคโนโลยีสำหรับการผลิต SAF

งานสัมมนานี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Navigating the Future of Aviation Challenges and Innovations in Sustainable Aviation Fuel (SAF) ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ บางนา เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา

วางรากฐานสร้างโรงงานผลิต SAF

คุณสุรพร เพชรดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF)

คุณสุรพร เพชรดี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) เผยว่าในฐานะผู้ผลิต SAF วัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตคือ น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil, UCO) นอกจากนี้ยังสามารถผลิตได้จากของเสียจำพวกน้ำมัน (Waste Oil) อื่น ๆ ได้ วัตถุดิบที่ใช้จะถูกควบคุมภายใต้การรับรองมาตรฐาน ISCC ทั้งการจัดหาวัตถุดิบ การผลิต และการจัดจำหน่าย ทั้งนี้การเลือกใช้ Waste Oil เป็นวัตถุดิบหลัก จะเป็นการตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนได้อย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันนี้ปริมาณน้ำมันพืชที่ประชาชนบริโภคอยู่ที่ 3-4 ล้านลิตร/วัน หากสามารถเก็บรวบรวมได้ประมาณ 30-40% หรือ 1 ล้านลิตร ซึ่งน่าจะพอเป็นไปได้ จึงเป็นที่มาของการออกแบบหน่วยผลิตน้ำมัน SAF ที่กำลังการผลิต 1 ล้านลิตรต่อวัน ซึ่งตอนนี้สามารถรวบรวมได้ประมาณ 50-60% และทางบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด ได้ร่วมมือกับ บ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ธนโชคน้ำมันพืช (2012) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ทำการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ของการรวบรวมน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วมาผลิตเป็นน้ำมัน SAF ได้

ในอนาคตหากพบว่าปริมาณ UCO มีไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ SAF ในประเทศไทย ทางภาครัฐกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการออกนโยบายให้ใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็น Feedstock ได้ แต่ต้องได้รับการรับรองจากมาตรฐาน ISCC ก่อน เนื่องจากทาง ISCC ได้ประกาศห้ามใช้น้ำมันปาล์มดิบ เพราะอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของอาหารทั้งหมดได้ เนื่องด้วยผลผลิตปาล์มน้ำมันในแถบยุโรปมีน้อย แต่ในบ้านเรามีปาล์มน้ำมันเยอะจึงน่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับการยกเว้นให้ผลิต SAF จากน้ำมันปาล์มดิบได้ และยังเป็นการส่งเสริมภาคเกษตรกรรมในประเทศอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านี้ การใช้ SAF สามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 80% และยังเกิดผลดีในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการทิ้ง UCO ลงสู่สิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบต่อการเกิดน้ำท่วมได้เนื่องจากจะไปรวมตัวเป็นก้อนไขมันกับขยะและไปอุดตันรางระบายน้ำได้ ด้านสุขภาพ ลดการนำน้ำมันกลับมาใช้ซ้ำซึ่งเป็นการลดปัญญาด้านสุขภาพของผู้บริโภค ป้องกันการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด หรือโรคมะเร็งได้  รวมถึงด้านเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนจากการนำ UCO มาขาย

ในด้านของตลาดเชื้อเพลิง SAF คาดว่าจะค่อย ๆ เติบโตขึ้น หลังจากที่แต่ละประเทศได้ประกาศนโยบายการใช้ SAF ขึ้น เช่นทวีปยุโรป ประกาศให้ผสม SAF ที่อัตรา 2% โดยจะเริ่มในปี 2025 เป็นต้นไป ส่วนในประเทศไทยมีแผนประกาศนโยบายกำหนดให้ปี 2026 เพิ่มสัดส่วนการผสม SAF ที่ 1% และความต้องการใช้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเปอร์เซ็นต์ในการผสมจะเพิ่มขึ้นตามแผนที่วางไว้ของแต่ละประเทศ แต่ในตลาดก็คงมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีผู้ผลิต SAF อยู่อีกหลายราย แต่ของประเทศไทยเราน่าจะแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ ได้ เนื่องจากเราจะเริ่มมีผลิตภัณฑ์ SAF แล้วในช่วงต้นปีหน้า จากโรงงานของ บ. บีเอสจีเอฟฯ ในกลุ่มของบางจากฯ แต่ในอนาคตทุกคนจะตระหนักเรื่องสิ่งแวดล้อมในการเข้าสู่  Carbon Neutrality และ Net Zero ซึ่ง SAF ตอบโจทย์ภาคส่วนอากาศยานมากที่สุด เพราะฉะนั้นดีมานน่าจะสูงขึ้นตาม ในเวลาเดียวกันก็อาจจจะเจอปัญหาเรื่อง Feedstock ถ้าทั่วโลกใช้ UCO เป็นหลัก คาดว่าปริมาณน่าจะมีไม่เพียงพอ จึงต้องมีการศึกษาเพื่อหา Feedstock ที่เหมาะสมมาทดแทน

ปัจจุบัน บ. บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บ. บีเอสจีเอฟ จำกัด กำลังก่อสร้างโรงงานผลิต SAF ที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2025 ก็จะมีผลิตภัณฑ์ SAF ออกมาสู่ผู้บริโภค กลุ่มลูกค้าจะเป็นทั้งสายการบินในประเทศและสายการบินจากต่างประเทศที่สนใจใช้ SAF ส่วนที่เหลือจากการขายในประเทศแล้วก็จะส่งออกไปขายยังต่างประเทศ กระบวนการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานอย่างยั่งยืน (SAF) ของบริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด (BSGF) โดยมีบริษัท ธนโชคน้ำมันพืช (2012) จำกัด เป็นผู้รวบรวม feedstock ให้ BSGF นำไปผลิต หลังเสร็จสิ้นกระบวนการผลิตจะขนสินค้าด้วยบริษัท กรุงเทพขนส่งเชื้อเพลิงทางท่อและโลจิสติกส์ (BFPL) ผ่านระบบท่อขนส่งน้ำมันทางท่อที่เชื่อมต่อไปถึงสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ

จะเห็นได้ว่าประโยชน์ที่กล่าวมาสอดคล้องกับ BCG Model เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมที่มุ่งเน้นการพัฒนา 3 เศรษฐกิจไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้อย่างแน่นอน

ร่วมพัฒนาธุรกิจเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

คุณจีรพันธ์ ปัญญานันท์ Executive Vice President สายงานปฏิบัติการธุรกิจไบโอดีเซล บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA

คุณจีรพันธ์ ปัญญานันท์ Executive Vice President สายงานปฏิบัติการธุรกิจไบโอดีเซล บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA เปิดเผยว่าในฐานะผู้ผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel หรือ SAF) ได้เริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิต SAF ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาสที่ 3 ของปี 2024 และจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป

ในด้านการจัดหาวัตถุดิบในการผลิต เราได้ลงทุนกับเทคโนโลยีการผลิต Hydroprocessed Esters and Fatty Acids (HEFA) เป็นเทคโนโลยีที่แปลงน้ำมันพืชและไขมันสัตว์ให้เป็นไฮโดรคาร์บอน ส่วนการจัดหาวัตถุดิบในระยะสั้นยังคงต้องใช้น้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil หรือ UCO) เป็นหลัก มองว่าหลังจากนี้ 5 ปี คาดว่าอุปสงค์ของการใช้ UCO ในประเทศยังคงเพียงพอต่อความต้องการ แต่หลังจากนี้หากมีมาตรการบังคับใช้ทั่วโลกในการเพิ่มสัดส่วน SAF เข้าไปในน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน เราจะต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศมากขึ้น โดยการพึ่งพานี้คงไม่ยั่งยืนมากนัก

บริษัท EA จึงได้จัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาชื่อ บจก. กรีน เทคโนโลยี รีเสิร์ช จำกัด หรือ GTR บริษัทนี้จะทำหน้าที่พัฒนาวิจัยธุรกิจในอนาคต รวมถึงวัตถุดิบที่จะใช้ เรามองเห็นโอกาสของความเป็นไปได้หลายอย่าง เช่น อนุพันธ์ของน้ำมันปาล์มต่าง ๆ ที่เป็นของเสีย อาทิ น้ำมันจากบ่อน้ำเสียโรงงาน น้ำมันที่ติดกับแป้งฟอกสี หรือไขมันสัตว์ นอกจากนี้โครงการที่กำลังหารือกับภาครัฐและภาคส่วนต่างประเทศคือพืชน้ำมันอนาคต ขณะนี้ได้หารือกับภาครัฐเกี่ยวกับน้ำมันสบู่ดำที่กำลังพยายามผลักดันวาระนี้ผ่านทางสภาอุตสาหกรรม และส่งต่อให้ทางภาครัฐขอความร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยกันผลักดันและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการบินเกิดความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

คุณจีรพันธ์ ได้มองทิศทางตลาดเชื้อเพลิงเครื่องบินในระยะยาวไว้ว่า ธุรกิจเชื้อเพลิงอากาศยาน SAF เป็นธุรกิจที่น่าลงทุนและจะช่วยรักษาโลกและสิ่งมีชีวิตให้มีอายุยืนยาวมากขึ้น ในวันนี้กลไกราคาอาจยังไม่ชัดเจนมากนัก อีกทั้งเทคโนโลยีที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่ แต่คาดว่าหากในอนาคตเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ต้นทุนการผลิตในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้าจะต่ำลงอย่างรวดเร็ว ราคาจะไม่ถูกผลักไปยังผู้บริโภค และความยั่งยืนจะเกิดขึ้น อีกสิ่งสำคัญที่จะทำให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้ต้องเกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน เวลานี้สิ่งที่ตอบโจทย์ได้ดีคงเป็นนโยบายของภาครัฐที่เข้ามาช่วยเหลือ โดยเข้าไปมีบทบาทในการร่วมกันผลักดัน ซึ่งประเทศไทยมีต้นทุนเรื่องวัตถุดิบสูง เพราะเป็นประเทศเกษตรกรรม อีกอย่างผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ก็มาจากพืชเกษตรเศรษฐกิจหลัก หากรัฐบาลมองเห็นแผนระยะยาวและผลักดันนโยบาย อนาคตการแข่งขันของประเทศไทยอาจนำประเทศเพื่อนบ้านไปได้อย่างมาก

ความเสี่ยงที่ท้าทายสู่สายการบินสีเขียว

คุณชัยยง รัตนาไพศาลสุข ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท การบินไทยฯ

คุณชัยยง รัตนาไพศาลสุข  ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร บริษัท การบินไทยฯ กล่าวว่า ปัจจุบันการบินเข้าสู่กลุ่มประเทศแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศสหรือสวีเดนจะมีการบังคับใช้ SAF ในสัดส่วน 2% อยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามกฎระเบียบที่แต่ละประเทศกำหนดไว้ ทางสายการบินไทยจึงได้เข้าร่วมประชุมกับอนุคณะกรรมการ ในผลักดันการใช้ SAF โดยมีสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT เป็นประธานร่วมกับการบินไทย ในการกำหนดให้ปี 2026 มีสัดส่วนการผสม 1% และในปี 2027 เพิ่มเป็น 3-5% ต่อมารัฐบาลพยายามเข้ามาสนับสนุน ทั้งนี้ข้อตกลงยังไม่เป็นเอกฉันท์จะต้องหารือกันอีก

ในมุมมองสายการบิน ความเสี่ยงที่ต้องเผชิญในธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานคือต้นทุน เดิมทีต้นทุนน้ำมันเครื่องบินอยู่ที่ 30% หากมีการเติม SAF ราคาจะพุ่งสูงขึ้น 4-5 เท่าจากราคาน้ำมันปกติ แต่ถ้าอัตราส่วนผสมอยู่ 1% สายการบินยังคงปรับตัวได้ และด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ถ้ายังคงมีราคาที่สูงอาจส่งผลกระทบไปยังผู้โดยสาร ในปกติอัตราค่าโดยสารจะมีค่าธรรมเนียมเชื้อเพลิง (Fuel Surcharge) แต่ในอนาคตอาจจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมมลพิษ (Emissions Charge) และภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) ซึ่งทางสายการบินไม่ต้องการผลักภาระไปที่ผู้โดยสาร ทั้งนี้ภาครัฐจึงต้องออกนโยบายให้ชัดเจนว่าจะเข้ามาช่วยชดเชยตรงนี้ได้อย่างไร

อีกหนึ่งความเสี่ยงคือการแข่งขันในตลาดสายการบิน ถ้ามีการออกกฎข้อบังคับใช้กับสายการบินในประเทศเพียงอย่างเดียว ในขณะที่สายการบินต่างชาติไม่มีนโยบายหรือข้อบังคับใช้ ก็จะเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทำให้สายการบินในประเทศรับความเสี่ยงเพียงฝ่ายเดียว อีกทั้งในเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน ถ้าราคาในประเทศไม่สามารถแข่งขันกับตลาดได้ การที่รัฐบาลมีแผนผลักดันและพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินและการขนส่งแห่งภูมิภาคนั้นอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานในสิงคโปรหรือเวียดนามมีราคาที่ถูกกว่า จึงเป็นจุดดึงดูดให้สายการบินต่างประเทศเลือกที่จะเติมน้ำมันและแวะพักเครื่องระหว่างทางผู้โดยสารที่นั่น ซึ่งมีหลายมิติที่ต้องระมัดระวัง

คุณชัยยงกล่าวเสริม การบินไทยและสายการบินต่างชาติต่างต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน หรือ SAF หากมีความต้องการใช้ที่เพิ่มมากขึ้นประเทศไทยเองจำต้องมีวัตถุดิบและปริมาณการผลิตที่เพียงพอ ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาในอนาคต ดังนั้นต้องมองหาแนวทางสำรอง เช่นการใช้วัตถุดิบจากอ้อยหรือมันสำปะหลัง แต่มีอีกหนึ่งประเด็นที่น่ากังวลคือคุณภาพของวัตถุดิบมีผลกับการปล่อยมลพิษ หมายความว่าวัตถุดิบที่นำมาใช้ต่างกัน ทำให้ค่าการปล่อยมลพิษไม่เท่ากัน ค่าตรงนี้ไม่ว่าอย่างไรควรเป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะสายการบินเรามุ่งมั่นเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ถ้าวัตถุดิบใดสามารถลดปริมาณการปลดปล่อยมลพิษได้ดี เราก็อยากจะนำมาใช้ในการผลิตเชื้อเพลิง SAF ตรงนี้สอดคล้องไปกับการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset)  ซึ่งสายการบินไทยอยู่ภายใต้องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ICAO เพราะฉะนั้น SAF ที่ผลิตในไทยทั้งหมดต้องผ่านการรับรองและให้เป็นไปตามกลไกการชดเชยและการลดคาร์บอนสำหรับการบินระหว่างประเทศ หรือ CORSIA ที่กำหนดขึ้นโดย ICAO ที่เป็นมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมการบินเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ถ้าได้รับการรับรองจาก ICAO จะทำให้คนมาเติมน้ำมันเพิ่มขึ้น

มาตรฐานการรับรอง CORSIA และ ISCC ต่อเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน

Mr. Kuppusamy Devandran, Project Manager จากบริษัท Petersons Projects & Solutions

CORSIA เป็นการรับรองระดับโลกที่กำหนดให้ธุรกิจสายการบินต้องติดตามและรายงานปริมาณคาร์บอน เพื่อนำไปสู่การลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมการบินระหว่างประเทศ จึงนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมการบินคาร์บอนต่ำ โดย Mr. Kuppusamy Devandran, Project Manager จากบริษัท Petersons Projects & Solutions ที่ให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืน มุ่งเน้นให้องค์กรต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายในการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้เผยว่า อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงอากาศยาน SAF เหมือนกับอุตสาหกรรมชีวภาพและชีวมวล ที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบพลังงานทดแทนของสหภาพยุโรป (Renewable Energy Directive หรือ RED) ภายใต้กฎระเบียบนี้ ทำให้ตลาดชีวภาพและชีวมวลสร้างกำไรได้มากมายมหาศาล โดยการสร้างกรอบการปฏิบัติตามและกระตุ้นให้มีส่วนร่วมในซัพพลายเชน ซึ่งปัจจุบัน SAF จะได้รับประโยชน์จาก CORSIA ที่สะท้อนให้เห็นได้จากอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบ RED และตั้งแต่ปี 2027 เป็นต้นไปจะมีการบังคับใช้ CORSIA สำหรับประเทศที่เป็นสมาชิก ICAO ทั้งหมด เพื่อสร้างตลาดที่มีการควบคุมอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นและสร้างแรงดึงดูดแก่นักลงทุน ทั้งนี้คุณ Devandran มองว่า CORSIA จะเข้ามาช่วยพัฒนาและขยายตลาด SAF ให้เติบโตขึ้นนั่นเอง

และในปัจจุบันมีหลายระบบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานชีวภาพให้องค์กรเลือกประยุกต์ใช้ได้ แต่ระบบมาตรฐานที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคงหนีไม่พ้น มาตรฐานการรับรองคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างประเทศ หรือ ISCC เป็นระบบที่มีการจัดทำขึ้นเพื่อการนำไปปฏิบัติและการรับรองสำหรับการรับรองคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างประเทศ มีรายละเอียดการสอบกลับได้และทำให้มั่นใจถึงห่วงโซ่อุปทานที่ไม่ได้มีการทำลายทรัพยากรป่าไม้ธรรมชาติ ปกป้องพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งยังเป็นมาตรฐานการรับรองที่เป็นที่รู้จักในตลาดของเรา

ในภาคส่วนพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทนได้มีการออกมาตรฐานการรับรอง ISCC เกือบ 5 หมื่นแห่งและ 4 พันแห่งทั่วโลกตามลำดับ รวมถึงมาตรฐานการรับรอง CORSIA ประมาณ 150 แห่ง ดังนั้นเราจึงมีทางเลือกมากมายที่จะขอการรับรองจาก ISCC ที่พูดได้เลยว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะไม่เพียงครอบคลุมตลาดเชื้อเพลิง SAF แต่รวมถึงอุตสาหกรรมพอลิเมอร์และเคมี และอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนในยุโรปอีกด้วย ซึ่งมาตรฐานการรับรอง ISCC ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อซัพพลายเออร์ สนามบิน และสายการบินอย่างมาก คล้ายกับการมีหลายตัวเลือกภายใต้การรับรองเดียว ผู้ประกอบธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำต่างชื่นชอบมาตรฐานการรับรองนี้เพราะมีความยืดหยุ่นสูงในหลาย ๆ อุตสาหกรรม

คุณ Devandran ปิดท้ายว่า ความท้าทายอย่างหนึ่งของ CORSIA คือการขาดกลไกทางตลาด เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิตหรือระบบ Cap-and-Trade เครื่องมือเหล่านี้มีความสำคัญ ที่จะนำมาสร้างแรงจูงใจให้กับผู้มีส่วนได้เสียในตลาด โดยการอนุญาตให้สร้างรายได้จากการลดคาร์บอนส่วนเกินได้ และอาจเพิ่มราคา SAF ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเติบโตของอุตสาหกรรมและเป็นประโยชน์ต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด

 

อนาคตตลาดเชื้อเพลิง SAF

Mr. Samuel Wong, Vice President – Asia Pacific of Petroleum Analyzer Company (PAC)

Mr. Samuel Wong, Vice President – Asia Pacific of Petroleum Analyzer Company (PAC) กล่าวว่า PAC นำประสบการณ์ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่มีมายาวนานถึง 93 ปีสู่ตลาดจนเป็นที่รู้จัก และเมื่อปี 2016 ได้มีส่วนร่วมในตลาดเชื้อเพลิง SAF โดยเข้าร่วมสมาคม ASTM เพื่อทบทวนและอนุมัติแนวทางใหม่ในการพัฒนาและปรับปรุงเทคโนโลยีสำหรับการทดสอบ SAF เช่น กระบวนการในการควบคุมการเผาไหม้ของแก๊ส (Thermal Oxidation) หรือออกซิเดชันเนื่องจากความร้อนและการกลั่นซัลเฟอร์ไนโตรเจน (The Sulfur Nitrogen Distillation) ด้วยประสบการณ์และการลงทุนในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิง SAF มายาวนานกว่า 10 ปี นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ได้เห็นตลาดนี้เติบโต 

และในงานสัมมนาวันนี้ได้ระบุประเด็นความท้าทายต่าง ๆ ที่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิง SAF กำลังเผชิญอยู่ 12 ประเด็นหลัก เช่น นโยบาย ข้อบังคับ ราคา วัตถุดิบ หรือวิธีการ สรุปได้ว่าเราไม่มีปัญหาในเรื่องทรัพยากรหรือโซลูชัน แต่เป็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในตลาดที่จะต้องช่วยกันผลักดัน ด้วยความมุ่งมั่นนี้จะทำให้อุตสาหกรรมเชื้อเพลิง SAF เติบโตไปได้ไกล ซึ่งสะท้อนวิสัยทัศน์ของ PAC โดยมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้าอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

คุณ Samuel เสริมว่า เมื่อปี 2017 เราจัดสัมมนาในหัวข้อ SAF ขึ้นครั้งแรกที่โรงแรมแห่งนี้ร่วมกับผู้เข้าร่วมกลุ่มเล็ก ๆ แต่ปัจจุบันตลาดนี้กลายเป็นที่สนใจจนมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ขณะนี้ยังคงมีความท้าทายในเรื่องนโยบาย ข้อบังคับและราคา แต่ในปี 2027 ที่มีการบังคับใช้ CORSIA เร็ว ๆ นี้ โดยไทยเป็นประเทศที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดี รวมถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ มีข้อได้เปรียบหลายอย่างที่เหมาะแก่การเป็นผู้นำด้านการผลิตเชื้อเพลิง SAF และการให้บริการการซ่อมบำรุงอากาศยาน รวมไปถึงการให้การสนับสนุนอื่น ๆ ซึ่งไทยจะต้องรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันนี้ไว้ เพื่อเป็นผู้นำในตลาดเชื้อเพลิงอากาศยานระดับภูมิภาค

 

ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิงที่สามารถแข่งขันในตลาดได้

คุณพรรณวดี อรรคลีพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคมีเคิลเฮ้าส์แอนด์แล็บอินสทรูเม้นท์ จำกัด

ในการทะยานสู่การเป็น Aviation Hub ภูมิภาค ตามวิสัยทัศน์ของรัฐบาลเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมการบินและอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะมีการบังคับใช้ SAF อย่างสายการบินที่บินในยุโรปจะต้องเติม SAF 2% อย่างไรก็ต้องเกิดการแข่งขันทั่วโลก ด้วยประการฉะนี้คุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง SAF ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน คุณพรรณวดี อรรคลีพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เคมีเคิลเฮ้าส์แอนด์แล็บอินสทรูเม้นท์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านเครื่องมือวิเคราะห์และทดสอบคุณภาพน้ำมัน ปิโตรเลียม ปิโตรเคมีมานานกว่า 45 ปี เผย เราได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงและความมุ่งมั่นของภาคอุตสาหกรรมในการลดคาร์บอนเพื่อมุ่งสู่ Net Zero ในปี 2065 ตามที่รัฐบาลไทยประกาศไว้ ซึ่งการพัฒนาเชื้อเพลิงดั้งเดิม (Jet Fuel – Jet A1) ไปสู่เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) เป็นอีกก้าวของการเปลี่ยนแปลงอันสำคัญในอุตสาหกรรมน้ำมันและการบินในการช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก้าวไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงและอุตสาหกรรมการบิน

เนื่องจาก SAF และ Jet Fuel มีความแตกต่างกันหลายแง่มุม จึงจำเป็นต้องมีการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงรวมถึงความปลอดภัยในการบิน ด้วยประสบการณ์ทำงานด้านการวิเคราะห์คุณภาพน้ำมันมายาวนาน บริษัทฯ จึงมีความชำนาญในเรื่องคุณสมบัติของน้ำมันประเภทต่าง ๆ ข้อกำหนด รวมถึงมาตรฐานการทดสอบเป็นอย่างดี และสามารถให้คำแนะนำพร้อมจัดหาเครื่องมือวิเคราะห์และทดสอบที่ทันสมัยและถูกต้องแม่นยำสำหรับการวิจัยและพัฒนา SAF เพื่อช่วยให้ประเทศไทยสามารถผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานที่ยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงให้บริการฝึกอบรมเกี่ยวกับมาตรฐานการทดสอบและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ SAF

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีเครือข่ายผู้ผลิต SAF ศูนย์วิจัย หน่วยงานให้การรับรองคุณภาพ ตลอดจนสายการบินต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศในการให้คำแนะนำแลกเปลี่ยนประสบการณ์และสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กร เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่ออุตสาหกรรมและประเทศไทย

ทั้งนี้ ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเพื่อก้าวสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 และขับเคลื่อนเศรษฐกิจในประเทศได้นั้น ทุกภาคส่วนต้องให้ความร่วมมือและรัฐจะต้องผลักดันนโยบายให้เกิดขึ้น ไทยมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประเทศเกษตรกรรม อุตสาหกรรมท่องเที่ยวขนาดใหญ่ รวมถึงเหมาะแก่การเป็นผู้นำด้านการผลิตเชื้อเพลิง SAF การให้บริการการซ่อมบำรุงอากาศยาน และการสนับสนุนอื่น ๆ ซึ่งไทยจะต้องรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันนี้ไว้ เพราะฉะนั้นจะต้องวางแผนและลงมือทำก่อนที่ประเทศอื่นจะแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดนี้ไป

About Post Author